เมนู
บทความ
บทความวิชาการ
>> อาเซียน
>> พรบ.การศึกษา
>> การจัดการเรียนรู้
>> คุณลักษณะนิสัย
>> วัดผลประเมินผล
>> ระบบดูแลนักเรียน
>> วิจัยในชั้นเรียน
>> หลักสูตร 2551
บทความวิทยาศาสตร์
>> รวมคำขวัญวันวิทยาศาตร์
>> เกิดอะไรขึ้นในสมอง
>> science-news
>> สีสันวิทยาศาสตร์
>> วิทยาศาสตร์น่ารู้
>> วิทย์ระดับประถม
>> คลังความรู้วิทยาศาสตร์
>> 10 กลวิทยาศาสตร์สนุก
>> เด็กวิทย์สนุกคิด
>> เทคโนโลยีและชีวภาพ
>> วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์
>> นิทานวิทยาศาสตร์
>> เกร็ดวิทย์ชวนรู้
>> บทความวิทยาศาสตร์
>> ข่าววิทยาศาสตร์
>> การทดลองวิทยาศาสตร์
บทความน่าสนใจ
>> เอลนีโญและลานีญา
>> พืชสมุนไพร
>> เตรียมตัวสู้น้ำท่วม
>> สื่ออีเลิร์นนิ่ง
>> สื่อ Teblet
>> สึนามิ
>> ข้อคิด คติเตือนใจ
>> ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์
>> พืชดูดสารพิษ
บทความสุขภาพ
>> ผักบุ้งนา ประหยัดสุด
>> อาบน้ำลดน้ำหนัก
>> ช่วยตับขับพิษ
>> การแกว่งแขนบำบัด
>> ครีมเทียม ยิ่งมากยิ่งเสี่ยง
>> ของเสียในร่างกาย
>>12 วิธีการลดคลอเลสเตอรอล
>> 15 วิธีลดไขมัน
>> สมุนไพรลดไขมัน
>> บ้านสุขภาพ
>> อาหารกลางวัน
>> คำนวณภาวะโภชนาการ
>> โภชนาการน่ารู้
>> ธงโภชนาการ
>> 10 อย่างที่ควรรับประทาน
>> อาหารสุขภาพ
>> อาหารและสุขภาพ
>> สาระน่ารู้ต่างๆ นาๆ
ปฎิทิน
April 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
  
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
   
สถิติ
เปิดเมื่อ17/04/2012
อัพเดท31/12/2015
ผู้เข้าชม403722
แสดงหน้า524079




>> ของเสียในร่างกาย

เมื่อ 11/04/2013
                 ของเสียในร่างกายต้นเหตุของโรค
                 ธรรมชาติร่างกายของคนเราต้องการ อาหาร , น้ำ , อากาศ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เมื่อเรารับประทาน อาหาร และ น้ำ เข้าไป กระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายที่ต้องทำมีดังนี้


Photo: ของเสียในร่างกาย ต้นเหตุแห่งโรคภัยไข้เจ็บ 

ธรรมชาติร่างกายของคนเราต้องการ อาหาร , น้ำ , อากาศ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เมื่อเรารับประทาน อาหาร และ น้ำ เข้าไป กระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายที่ต้องทำมีดังนี้

ร่างกายจะทำการย่อยอาหาร 
ดูดซึมสารอาหาร  
ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย 
 
รูปประกอบจาก http://e-learning.e-tech.ac.th 
โดยมีอวัยวะในร่างกาย เช่น ตับ , ไต และลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ในรูปของ เหงื่อ , ปัสสาวะ และ อุจจาระ ส่วนอากาศ ก็จะมีปอด ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย
ถ้าอาหารที่เราทานเข้าไปอยู่ในปริมาณที่พอดี , ย่อย และขับของเสียในร่างกายได้ดี สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเราทานเข้าไปมากเกินไปร่างกายก็จะทำงานไม่ไหว ไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้หมดก็จะเกิดการตกค้างอยู่ในร่างกาย 

ถึงแม้ว่าเราจะทานอาหารที่ดีมีคุณค่าต่อร่างกายหรือราคาแพงมากเท่าไรก็ตาม หากร่างกายยังมีสารพิษและของเสียสะสมอยู่ โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร ของเสียตกค้างเหล่านี้จะขัดขวางการดูดซึมสารอาหารที่มีคุณค่าเหล่านั้น ทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่กลับดูดสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดแทนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกง่วงนอน

สัญญาณเตือนว่าคุณมีสารพิษ ตกค้างในร่างกาย
- ท้องผูก , อาหารไม่ย่อย, ขับถ่ายไม่ดี 
- อ่อนเพลีย, เซื่องซึม, หงุดหงิดง่าย, นอนไม่หลับ, วิตกกังวล, เลื่อนลอย, ความจำไม่ดี, สมาธิสั้น
- ปวดศีรษะ , ปวดข้อ , ปวดกล้ามเนื้อ, ผิวแห้งแตก ,เส้นผมและเล็บมีความเปราะบาง
- ร่างกายขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจ ทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
- เป็นสิว , ผื่นคันเรื้อรัง ,มีอาการภูมิแพ้ชนิดอื่น
- มีอาการ ท้องอืด แน่นท้อง แก๊สมากและปวดเกร็งช่องท้อง
- คัดจมูก , เสมหะมาก , ลิ้นเป็นฝ้า , ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นต้น

หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้น มาดูวิธีการขับสารพิษอย่างง่ายๆกัน ขอบคุณข้อมูลดีดี มีประโยชน์ ที่ได้จาก หนังสือชีวจิต 

วิธีล้างสารพิษในร่างกายแบบง่ายๆ
คงพอจะทราบกันบ้างว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมอยู่ในตัวให้ออกไปได้นั้นจะช่วยส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก และถ้าทำเป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคได้ด้วย รู้แบบนี้แล้วจะมัวช้าอยู่ไย เลือกวันดีๆ ขึ้นมาสัก 1 วัน แล้วมาขจัดสารพิษในร่างกายกันเลยดีกว่า 

หัวใจสำคัญของการล้างสารพิษใน 1 วันทำได้โดยที่คุณๆ ทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตัวในการกินให้ได้แคลอรี่แค่ 800 กิโลแคลอรี่เท่านั้น เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะได้ขับสารพิษออกมาได้ และอาหารที่จะรับประทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนอย่างเด็ดขาด เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลย

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ฝรั่ง ฯลฯ
ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนกับสับปะรด เพราะ 
ทุเรียนมีแคลอรี่สูงเกินไปทำให้ย่อยยากเมื่อรับประทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อยอาหาร 
        ส่วนสับปะรดก็มีกรดสูงมาก ถ้ากินบ่อยๆ ก็จะทำให้ท้องอืดได้

2. ให้รับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำที่ใส่เฉพาะมะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอื่นอย่างเด็ดขาด

3. พอถึงมื้อกลางวันก็ให้รับประทานมะละกออีก แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุดหรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องรับประทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า ก็ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวด เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปรับประทานอาหารเช้าเลย สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราเป็นอันต้องเสียเปล่าไป

ขั้นตอนการเตรียมน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร จำนวน 2 ขวด, มะนาว 4 ลูก, เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีนเด็ดขาด 

2. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวด บีบมะนาวลงไปในขวด ขวดละ 2 ลูก เติมเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด เพื่อน้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระต่อไป

3. หลังจากดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องตกใจนั่นคืออาการปกติ 

4. หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้ว ก็รับประทานอาหารเช้าได้ตามปกติ

วิธีล้างสารพิษด้วยตัวคุณเองทำได้ง่ายนิดเดียว และถ้าจะให้กระบวนการล้างสารพิษมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็ควรทำเป็นประจำสัก 1 ครั้ง / 2 สัปดาห์ 

หมั่นออกกำลังกายดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีมีคุณภาพ

http://thai-healthy.blogspot.com/2012/10/blog-post_9.html




รูปประกอบจาก http://e-learning.e-tech.ac.th/
ร่างกายจะทำการย่อยอาหารดูดซึมสารอาหารขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายโดยมีอวัยวะในร่างกาย เช่น ตับ , ไต และลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกาย ในรูปของ เหงื่อ , ปัสสาวะ และ อุจจาระ ส่วนอากาศ ก็จะมีปอด ทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายถ้าอาหารที่เราทานเข้าไปอยู่ในปริมาณที่พอดี , ย่อย และขับของเสียในร่างกายได้ดี สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าเราทานเข้าไปมากเกินไปร่างกายก็จะทำงานไม่ไหว ไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากร่างกายได้หมดก็จะเกิดการตกค้างอยู่ในร่างกาย     ถึงแม้ว่าเราจะทานอาหารที่ดีมีคุณค่าต่อร่างกายหรือราคาแพงมากเท่าไรก็ตาม หากร่างกายยังมีสารพิษและของเสียสะสมอยู่ โดยเฉพาะในทางเดินอาหาร ของเสียตกค้างเหล่านี้จะขัดขวางการดูดซึมสารอาหารที่มีคุณค่าเหล่านั้น ทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่กลับดูดสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดแทนทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย รู้สึกง่วงนอนสัญญาณเตือนว่าคุณมีสารพิษ ตกค้างในร่างกาย
- ท้องผูก , อาหารไม่ย่อย, ขับถ่ายไม่ดี
- อ่อนเพลีย, เซื่องซึม, หงุดหงิดง่าย, นอนไม่หลับ, วิตกกังวล, เลื่อนลอย, ความจำไม่ดี, สมาธิสั้น
- ปวดศีรษะ , ปวดข้อ , ปวดกล้ามเนื้อ, ผิวแห้งแตก ,เส้นผมและเล็บมีความเปราะบาง
- ร่างกายขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจ ทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปาก
- เป็นสิว , ผื่นคันเรื้อรัง ,มีอาการภูมิแพ้ชนิดอื่น
- มีอาการ ท้องอืด แน่นท้อง แก๊สมากและปวดเกร็งช่องท้อง
- คัดจมูก , เสมหะมาก , ลิ้นเป็นฝ้า , ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เป็นต้น
               หากคุณมีอาการดังกล่าวข้างต้น มาดูวิธีการขับสารพิษอย่างง่ายๆกัน ขอบคุณข้อมูลดีดี มีประโยชน์ ที่ได้จาก หนังสือชีวจิต
            วิธีล้างสารพิษในร่างกายแบบง่ายๆ
คงพอจะทราบกันบ้างว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมอยู่ในตัวให้ออกไปได้นั้นจะช่วยส่งผลทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก และถ้าทำเป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคได้ด้วย รู้แบบนี้แล้วจะมัวช้าอยู่ไย เลือกวันดีๆ ขึ้นมาสัก 1 วัน แล้วมาขจัดสารพิษในร่างกายกันเลยดีกว่า
             หัวใจสำคัญของการล้างสารพิษใน 1 วันทำได้โดยที่คุณๆ ทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตัวในการกินให้ได้แคลอรี่แค่ 800 กิโลแคลอรี่เท่านั้น เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะได้ขับสารพิษออกมาได้ และอาหารที่จะรับประทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนอย่างเด็ดขาด เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว ต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลย
          1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ฝรั่ง ฯลฯ
ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนกับสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรี่สูงเกินไปทำให้ย่อยยากเมื่อรับประทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อยอาหารส่วนสับปะรดก็มีกรดสูงมาก ถ้ากินบ่อยๆ ก็จะทำให้ท้องอืดได้
           2. ให้รับประทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำที่ใส่เฉพาะมะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอื่นอย่างเด็ดขาด
           3. พอถึงมื้อกลางวันก็ให้รับประทานมะละกออีก แต่อาจจะเปลี่ยนเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุดหรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
           4. มื้อเย็นก็ยังต้องรับประทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนจนเกินไป
           5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า ก็ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวด เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปรับประทานอาหารเช้าเลย สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราเป็นอันต้องเสียเปล่าไป

ขั้นตอนการเตรียมน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาว
           1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร จำนวน 2 ขวด, มะนาว 4 ลูก, เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีนเด็ดขาด
            2. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวด บีบมะนาวลงไปในขวด ขวดละ 2 ลูก เติมเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด เพื่อน้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระต่อไป
            3. หลังจากดื่มน้ำอุ่นผสมน้ำมะนาวเข้าไปประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ ไม่ต้องตกใจนั่นคืออาการปกติ
            4. หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้ว ก็รับประทานอาหารเช้าได้ตามปกติ
วิธีล้างสารพิษด้วยตัวคุณเองทำได้ง่ายนิดเดียว และถ้าจะให้กระบวนการล้างสารพิษมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นก็ควรทำเป็นประจำสัก 1 ครั้ง / 2 สัปดาห์หมั่นออกกำลังกายดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ดีมีคุณภาพ

http://thai-healthy.blogspot.com/2012/10/blog-post_9.html

 
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :
 


Web Master : ครูนงลักษณ์

นงลักษณ์ ชูทัน
  น.ส.นงลักษณ์ ชูทัน

สารพัดลิงค์







เรื่องน่ารู้



ผู้ที่เป็นครูจะต้องถือเป็นหน้าที่อันดับแรก ที่จะต้อง ให้การศึกษา คือ สั่งสอนอบรมอนุชนให้ได้ผลแท้จริง ทั้งในด้านวิชาความรู้ ทั้งในด้านจิตใจ และความประพฤติ ทั้งต้องคิดว่างานที่แต่ละคนกำลังทำอยู่นี้คือความเป็นความตายของประเทศ เพราะอนุชนที่มีความรู้ความดีเท่านั้นที่จะรักษาชาติบ้านเมืองไว้ได้…
(พระราชดำรัส : ๒๕๑๕)