เมนู
บทความ
บทความวิชาการ
>> อาเซียน
>> พรบ.การศึกษา
>> การจัดการเรียนรู้
>> คุณลักษณะนิสัย
>> วัดผลประเมินผล
>> ระบบดูแลนักเรียน
>> วิจัยในชั้นเรียน
>> หลักสูตร 2551
บทความวิทยาศาสตร์
>> รวมคำขวัญวันวิทยาศาตร์
>> เกิดอะไรขึ้นในสมอง
>> science-news
>> สีสันวิทยาศาสตร์
>> วิทยาศาสตร์น่ารู้
>> วิทย์ระดับประถม
>> คลังความรู้วิทยาศาสตร์
>> 10 กลวิทยาศาสตร์สนุก
>> เด็กวิทย์สนุกคิด
>> เทคโนโลยีและชีวภาพ
>> วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์
>> นิทานวิทยาศาสตร์
>> เกร็ดวิทย์ชวนรู้
>> บทความวิทยาศาสตร์
>> ข่าววิทยาศาสตร์
>> การทดลองวิทยาศาสตร์
บทความน่าสนใจ
>> เอลนีโญและลานีญา
>> พืชสมุนไพร
>> เตรียมตัวสู้น้ำท่วม
>> สื่ออีเลิร์นนิ่ง
>> สื่อ Teblet
>> สึนามิ
>> ข้อคิด คติเตือนใจ
>> ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์
>> พืชดูดสารพิษ
บทความสุขภาพ
>> ผักบุ้งนา ประหยัดสุด
>> อาบน้ำลดน้ำหนัก
>> ช่วยตับขับพิษ
>> การแกว่งแขนบำบัด
>> ครีมเทียม ยิ่งมากยิ่งเสี่ยง
>> ของเสียในร่างกาย
>>12 วิธีการลดคลอเลสเตอรอล
>> 15 วิธีลดไขมัน
>> สมุนไพรลดไขมัน
>> บ้านสุขภาพ
>> อาหารกลางวัน
>> คำนวณภาวะโภชนาการ
>> โภชนาการน่ารู้
>> ธงโภชนาการ
>> 10 อย่างที่ควรรับประทาน
>> อาหารสุขภาพ
>> อาหารและสุขภาพ
>> สาระน่ารู้ต่างๆ นาๆ
ปฎิทิน
April 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
  
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
   
สถิติ
เปิดเมื่อ17/04/2012
อัพเดท31/12/2015
ผู้เข้าชม403949
แสดงหน้า524316


“ขนลุก-ผมตั้ง” ระวังไว้ ฟ้ากำลังจะผ่า

อ่าน 214 | ตอบ 0

ถ้าคุณยืนอยู่กลางที่โล่งท่ามกลางเมฆพายุแล้วรู้สึกขนลุกหรือผมตั้ง ให้ระวังให้ดี เพราะประจุไฟฟ้ากำลังสะสมอยู่บนตัวคุณ และฟ้ากำลังจะผ่าลงตรงจุดที่คุณยืนอยู่ คำเตือนดังกล่าวเผยโดย ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งอธิบายถึงการเกิดฟ้าผ่าว่า มีสาเหตุจากประจุที่เกิดจากการเสียดสีของละอองน้ำในก้อนเมฆ ทั้งนี้ การเสียดสีทำให้เกิดประจุแตกตัว หรือเกิดไฟฟ้าสถิต เหมือนการหวีผมในอากาศแห้งแล้วทำให้ผมชี้ฟู แต่ในกรณีฟ้าผ่านั้น ดร.สธนอธิบายว่า ประจุบวกจะเคลื่อนสู่ด้านบนของก้อนเมฆ และประจุลบเคลื่อนสู่ด้านล่าง ประจุลบด้านล่างของก้อนเมฆเหนี่ยวนำให้เกิดประจุบวกจากพื้นดินเคลื่อนไปรอที่จุดสูงๆ เพื่อให้ง่ายต่อการไหลมาเจอกัน 'ปกติอากาศไม่นำไฟฟ้า แต่เมื่อเกิดความต่างศักย์มากๆ ระหว่างประจุบวกและประจุลบทำให้อากาศแตกตัว และนำไฟฟ้าได้ จึงเกิดฟ้าผ่าขึ้นจากการเคลื่อนที่มาเจอกันระหว่างประจุลบในก้อนเมฆ และประจุบวกจากพื้นดิน ซึ่งฟ้าไม่ได้ผ่าลงอย่างเดียว แต่บางครั้งเราเห็นฟ้าผ่าขึ้นด้วย' ดร.สธนกล่าว ปรากฎการณ์ฟ้าผ่านี้ ดร.สธนกล่าวว่าเชื่อมโยงกับเมฆฝนฟ้าคะนอง เพราะเป็นแหล่งให้ประจุไฟฟ้าไหล ซึ่งช่วงเกิดเมฆชนิดนี้มากในเมืองไทยคือระหว่างเดือน พ.ค-มิ.ย. และเดือน ต.ค. ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู แต่ช่วงเปลี่ยนจากฤดูหนาวมาร้อนนั้นความชื้นไม่เยอะ จึงมีความหนาแน่นของเมฆไม่มาก ปัจจัยของพายุฝนฟ้าคะนองคือความกดอากาศต่ำที่เกิดจากการปะทะระหว่างลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงเหนือทำให้อากาศยกตัว แนวความกดอากาศต่ำนี้เคลื่อนตัวขึ้นเหนือผ่านกรุงเทพฯ ในช่วงเดือน มิ.ย. แล้วขึ้นเหนือต่อไปทำให้เกิดฝนตกหนักที่ลาว 'จากนั้นจะได้ข่าวเกี่ยวกับฝนตกหนักในจีนตอนใต้เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำดังกล่าวขึ้นไปถึง แต่เมื่อไปปะทะความกดอากาศสูงจากจีนจะเคลื่อนตัวลงมา และผ่านกรุงเทพฯอีกครั้งในเดือน ต.ค จากนั้นจะเหลืออิทธิพลของลมตะวันตกเฉียงใต้อย่างเดียว ทำให้เกิดฝนตกภาคใค้และภาคตะวันตกเยอะ' ดร.สธนสาธยาย ข้อปฎิบัติเพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่านั้น ดร.สธน ระบุว่า อันดับแรกให้หาที่กำบังที่มิดชิด การอยู่ในรถก็ปลอดภัย เพราะหากฟ้าผ่า กระแสไฟฟ้าก็จะไหลลงดิน หรือกรณีอยู่ที่โล่งและมีเมฆฝนตั้งเค้า แล้วรู้สึกขนลุกและผมตั้งให้รีบถอยออกมาจากจุดนั้นอย่างรวดเร็วเพราะกำลังเกิดการสะสมประจุที่ตัวเรา แล้วฟ้าจะผ่่าลงมาในไม่ช้า 'ถ้าอยู่ในที่โล่งและหนีไม่ทันแล้วให้พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด ทำท่านั่งหลบภัยโดยย่อตัวให้ต่ำกว่าสิ่งรอบตัวให้มากที่สุด คู้เข่าและเขย่งเท้าเพื่อลดพื้นที่สัมผัสพื้น อย่าใช้โทรศัพท์มือถือเพราะจะส่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้เกิดการกระเพื่อมของประจุ ซึ่งฟ้าจะผ่าลงมาบริเวณนั้น ถ้าแสงฟ้าแลบให้นับเวลาเป็นวินาที 1 2 3 ... ไปเรื่อยๆ ถ้านับถึง 3 แสดงว่าฟ้าผ่าอยู่ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถ้าถ้าฟ้าอยู่ใกล้กว่า 1 กิโลเมตร ให้รีบหาที่หลบ' ดร.สธนแนะนำ พร้อมกันนี้ ดร.สธนยกตัวอย่าง นักท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติของสหรัฐฯ ซึ่งขณะถ่ายรูปได้ชี้ตั้งขึ้น หลังจากเธอถอยออกมาจากบริเวณนั้นเพียง 5 นาที ฟ้าก็ผ่าลงตรงจุดที่เธอเพิ่งถ่ายรูปไป และมีผู้เสียชีวิต 1 คน แต่เธอรอดมาได้หวุดหวิด ความถี่ในการเกิดฟ้าผ่านั้น ดร.สธนอ้างข้อมูลจากองค์การบริหารบินอากาศสหรัฐ (นาซา) ว่าเมืองไทยเกิดฟ้าผ่าเฉลี่ยปีละ 15 ครั้งต่อตารางกิโลเมตร แต่พื้นที่ซึ่งมีฟ้าผ่าถี่ที่สุดในโลกคือแอฟริกา ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบ มีความร้อนและความชื้นสะสมสูง ทำให้พายุฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ตลอดปี ไม่เกี่ยวกับฤดูกาล ด้าน อ.บุศราศิริ ธนะ อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กลาวว่า ตอนนี้ทางคณะวิทย์ได้ร่วมกับญี่ปุ่นสร้างห้องปฏิบัติการศึกษาฟ้าผ่า โดยได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดความถี่และความรุนแรงของฟ้าผ่า ซึ่งมีสถานีแบบเดียวกันติดตั้งเพื่อเก็บข้อมูลที่อินโดนีเซียและไต้หวันด้วย ซึ่งยังได้ข้อมูลไปศึกษาแง่ฟิสิกส์ อย่างพลังงานในชั้นบรรยากาศสูงๆ ด้วย 'ข้อมูลขณะนี้ยังไม่พบความผิดปกติว่าเกิดมากขึ้นหรือน้อยลง ลักษณะการเคลื่อนตัวของฟ้าผ่าเคลื่อนตัวไปตามกลุ่มฝนในแต่ละฤดูกาล แต่ระบุในระดับจังหวัดไม่ได้ว่าที่ใดเกิดฟ้าผ่ามากที่สุด โดยลักษณะเมฆของฝนฟ้าคะนองคือเมฆคิวมูโลนิบัสที่มีรูปร่างเหมือนทั่ง' อ.บุศราศิริกล่าว โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มิถุนายน 2556

ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :
 


Web Master : ครูนงลักษณ์

นงลักษณ์ ชูทัน
  น.ส.นงลักษณ์ ชูทัน

สารพัดลิงค์







เรื่องน่ารู้



ผู้ที่เป็นครูจะต้องถือเป็นหน้าที่อันดับแรก ที่จะต้อง ให้การศึกษา คือ สั่งสอนอบรมอนุชนให้ได้ผลแท้จริง ทั้งในด้านวิชาความรู้ ทั้งในด้านจิตใจ และความประพฤติ ทั้งต้องคิดว่างานที่แต่ละคนกำลังทำอยู่นี้คือความเป็นความตายของประเทศ เพราะอนุชนที่มีความรู้ความดีเท่านั้นที่จะรักษาชาติบ้านเมืองไว้ได้…
(พระราชดำรัส : ๒๕๑๕)